วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กลุ่มสังคม (Social Groups)

ความหมายของกลุ่ม ตามความเห็นของ Maciver and Page ได้อธิบายว่า กลุ่ม หมายถึง การรวมตัวของมนุษย์ชาติที่ต้องสัมพันธ์ติดต่อกับบุคคลอื่น เมื่อไม่มีความสัมพันธ์ติดต่อกับการรวมตัวของมนุษย์จะไม่เรียกว่า กลุ่ม แบบของการรวมกลุ่มมีความสัมพันธ์ทางสังคมเป็น พื้นฐาน เท่านั้น

กลุ่มที่เราจะเน้นคือ กลุ่มปฐมภูมิ

ปฐมภูมิ ได้แก่ กลุ่มบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและมีความรู้สึกเป็น พวกเรา มีการติดต่อกันอยู่เสมอและเป็นเวลาอันยาวนาน ซึ่งจะพอสรุปลักษณะของกลุ่มปฐมภูมิได้ดังนี้
1. เป็นกลุ่มขนาดเล็ก
2. มีการติดต่อใกล้ชิดกันและเป็นไปโดยตรง
3. มีความสนิทสนมใกล้ชิดเป็นการส่วนตัว
4. มีการติดต่อกันเป็นระยะยาว
5. กระทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน ช่วยเหลือกัน
6. การตัดสินใจของกลุ่มใช้ความรู้สึก อารมณ์มากกว่าเหตุผล


เห็นครอบครัวเขาอบอุ่น อยู่พร้อมหน้า

พี่น้องมา กลับคืนถิ่น ดินอิสาน

จากบ้านไกลซ่อมสร้างเขต แดนทำงาน

ภาพเคลื่อนไหว มากราบกราน อกพ่อแม่ น่ารักจริง

มีพ่อแม่ ลูกหลานอยู่พร้อมหน้า

ป้า น้า อา ลุงก็มา อบอุ่นยิ่ง

มีพ่อแม่ เป็นเสาหลัก ไว้พักพิง

ลูกทำสิ่งความสำเร็จ นำกลับมา

พ่อกับแม่ท่านเห็นลูกปลื้มใจนัก

ที่ลูกรักกลับถึงเรือน เฮือนหรรษา

อยู่พร้อมเพรียงนั่งเรียงหนึ่งนะลูกยา

ตากล้องมา บันทึกภาพโดยฉับไว

ดูสีหน้า ท่าทาง พ่อกับแม่

โถ...ดูแกหน้าอิ่มเอิบ แผ่วผ่องใส

ลูกทั้งสี่อยู่พร้อมหน้า แสนปลื้มใจ

ม่หวังได ลูกสำเร็จ ในการงาน

@@@@@@@@@@@@@@@@@

สรุป ความหมายของกลุ่ม คือ กลุ่มคนที่มิใช่มีความใกล้ชิดกันทางร่างกายเท่านั้น แต่จะต้องมีการกระทำโต้ตอบซึ่งกันและกัน มีการติดต่อสัมพันธ์กันตามสถานภาพและบทบาท มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีความเชื่อในด้านคุณค่าร่วมกันหรือคล้ายคลึงกัน กลุ่มสังคม ได้แก่ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มอาชีพ กลุ่มเชื้อชาติ กลุ่มประชาชนของประเทศ เป็นต้น


:iconrubcheeksplz:ภาพการ์ตูนเคลื่อนไหว
 
 
 
รูปภาพ
 
นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ
เรื่อง  ความกตัญญู


 มีครอบครัวชาวนาครอบครัว หนึ่งมีลูกชายสองคน ทั้งสองเป็นพี่น้องที่รักกันมากจนกระทั่งพ่อแม่แก่เฒ่า และสิ้นอายุขัยไป สองพี่น้องจึงแยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวของตนเอง แต่ก็ยังปลูกบ้านที่ในหมู่บ้านเดียวกัน และไปมาหาสู่และรักใคร่กันเสมอ สองพี่น้องยังคงยึดอาชีพชาวนาปลูกข้าวเลี้ยงชีพเช่นเดียวกับพ่อแม่และใช้ ชีวิตสันโดษพอเพียง แม้จะไม่มีเงินทองร่ำรวยอะไรแต่ก็มีความสุขตามอัตภาพ มิได้ลำบากยากแค้นอะไรนัก อยู่มาปีหนึ่ง ชาวนาคนพี่ทำนาได้ข้าวมากกว่าทุก ๆ ปี จึงมีใจคิดเผื่อแผ่ไปถึงน้องชาย เขากล่าวกับภรรยาของตนในเย็นวันหนึ่งว่า

"เธอจะว่าอย่างไร หากฉันจะเอาข้าวที่เราเก็บเกี่ยวได้ในปีนี้ไปแบ่งให้น้องชายของฉันบ้าง"

"ทำไมหรอจ๊ะ นาของน้องชายเธอได้ข้าวไม่ดีนักหรือ" ภรรยาของชาวนาผู้พี่เอ่ยถาม

"เปล่าหรอกจ้า นาของน้องชายฉันก็ให้ข้าวรวงดีไม่แพ้ของเราหรอก แต่ฉันเห็นว่าครอบครัวของเขามีหลายปากท้องต้องให้เลี้ยงดู ทั้งตัวเขา เมียเขา และลูกเล็ก ๆ อีกหลายคน ส่วนเรานั้นมีกันแค่สองผัวเมีย ชึ่งฉันคิดว่า แค่ข้าวเพียงไม่กี่กระสอบก็น่าจะทำให้เราสองคนอิ่มท้องไปจนถึงปีหน้าได้ แล้ว" ชาวนาผู้พี่กล่าว

"อืม ฉันเห็นด้วยจ้ะ น้องชายของเธอก็มีน้ำใจกับเราสองคนเสมอมา เมื่อมีผักผลไม้ดี ๆ เกิดขึ้นในไร่นาของเขา เขาก็นำมาให้เราทุกครั้ง เมื่อเรามีข้าวมากจนเหลือกิน เธอก็จัดแบ่งไปให้ครอบครัวของน้องชายเธอบ้างเถิดจ้ะ"

เมื่อภรรยาสนับสนุนเป็นอย่างดีเช่นนั้น ชาวนาผู้พี่ก็จัดการบรรจุข้าวลงกระสอบขนาดใหญ่ แล้วรอจนมืดค่ำจึงค่อยแบกกระสอบข้าวกระสอบนั้นไปยังบ้านของน้องชาย และทิ้งกระสอบข้าวไว้ข้างนอกประตูบ้านอย่างเงียบเชียบ ที่ต้องทำแบบนี้เพราะชาวนาผู้พี่เกรงว่า ถ้าเอาไปให้ตอนกลางวันแล้วน้องชายรู้ น้องชายอาจจะปฎิเสธข้าวของเขาเพราะความเกรงใจก็เป็นได้

วันรุ่งขึ้น เมื่อชาวนาผู้พี่ไปนับกระสอบข้าวที่เหลืออยู่ในยุ้งเขาต้องประหลาดใจเพราะปรากฏว่า กระสอบข้าวยังมีจำนวนเท่าเดิม

"เอ เมื่อคืนเรานำข้าวไปให้น้องหนึ่งกระสอบ แล้วทำไมข้าวเราจึงเหลืออยู่เท่าเดิม หรือว่าเราจะนับผิด ถ้าอย่างนั้นเราเอาข้าวไปให้น้องสักหนึ่งกระสอบแล้วกัน" พี่ชายผู้พี่บอกกับตัวเอง

คืนวันนั้นเข้าก็เอาข้าวอีกกระสอบไปให้น้องชาย แต่พอเช้าวันต่อมา เมื่อเขาเข้าไปนับก็ปรากฏว่าข้าวยังคงเหลือเท่าเดิมเหมือนครั้งแรก

"เอ๊ะ! จะให้เชื่ออย่างไรนี่" ชายผู้พี่ร้อง "ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องเอาข้าวไปให้น้องเราอีกกระสอบหนึ่ง" คืนนั้นชาวนาผู้พี่จึงแบกกระสอบข้าวไปบ้านน้องชายอีกหนึ่งกระสอบเป็นรอบที่ สาม

แสงจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าในคืนวันนั้น ชายผู้พี่มองเห็นร่างของใครคนหนึ่ง กำลังแบกกระสอบข้าวตรงมาทางเขา ชายผู้พี่จ้องเขม็งตามองอีกครั้ง จึงเห็นว่า ร่างของคนคนนั้นก็คือน้องชายของเขานั่นเอง ชาวนาผู้พี่ และชาวนาผู้น้องต่างหยุดวางกระสอบข้าวลงบนพื้น แล้วมองหน้ากันอย่างงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทั้งสองร้องขึ้นมาพร้อมกันว่า

"เอ๊ะ! พี่เองเหรอที่เอาข้าวมาวางไว้หน้าบ้านของฉันน่ะ"

"อ๊ะ แก่เองเหรอน้องรักที่เอาข้าวมาวางไว้ในยุ้งข้าวของพี่ทุกคืน"

แล้วทั้งสองก็พากันหัวเราะด้วยความขบขันเป็นเวลานาน ต่างคนต่างก็รู้สึกรักและผูกพันกับอีกคนมากขึ้น โดยไม่ต้องพูดจาอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว
บทสรุป

       สองพี่น้องชาวนารักใคร่กันดี เพราะมีน้ำใจไมตรีให้เแก่กันอยู่เสมอ เขาอาจจะรักกันบนพื้นฐานความเป็นพี่น้องก็จริง แต่เราก็สามารถรักและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นอย่างจริงใจได้ โดยไม่ต้องเป็นอะไรกับเขาเลย เพราะความรัก ความเมตตา และความปรารถนาอยากจะให้ผู้อื่นมีความสุขนั้น ไม่ใช่คุณธรรมที่สงวนไว้เฉพาะพี่น้องร่วมสายโลหิต แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติต่อกันเสมือนเช่นนั้น ถ้าทำได้แบบนี้ สังคมของเราคงน่าอยู่ขึ้นมาก เพราะเราจะมีแต่พี่น้องที่รักกันอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้ในความเป็นจริง ทุกคนอาจไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยก็ตาม